Categories
บทความ

10ปัญหายอดฮิต!!พบบ่อยในการตรวจรับคอนโด

อสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือคอนโดมิเนียม นั้นส่วนใหญ่ของงานก่อสร้างเป็นปัญหาใหญ่ที่เจอเกือบทุกๆโครงการและเป็นปัญหาซ้ำๆ ซึ่งพอจะสรุปได้เป็น 10 ข้อดังนี้

1. เข้าสายไฟ Line – Neutral ของปลั๊กไฟสลับกัน

แนวทางแก้ไข: ถอดปลั๊ก Out Let ออก แล้วสลับการเข้าขั้วสายที่หลังปลั๊กให้ถูกต้อง (ด้านหลังของปลั๊กจะมีรหัสระบุขั้วสายแสดงไว้)

2. ไม่ร้อยท่อสายไฟฟ้า (สายTHW.) ส่วนที่อยู่เหนือฝ้าเพดาน

แนวทางแก้ไข: ถอดขั้วสายไฟออกจากอุปกรณ์แล้วร้อยท่อสายไฟให้เรียบร้อย ถ้าความยาวสายไฟไม่เกิน 1.50 เมตร สามารถร้อยท่ออ่อน (Flex) ได้แต่ความยาวเกิน 1.50 เมตร ให้ร้อยโดยท่อชนิดแข็ง

3. เชื่อมต่อขั้วสายโทรศัพท์ที่ปลั๊ก Out Let ไม่ถูกต้อง

แนวทางแก้ไข: ถอดปลั๊ก Out Let โทรศัพท์ออกแล้วทำการเชื่อมต่อขั้วสายใหม่ให้ถูกต้อง

4. ไม่มีการปิดฝา Junction Box จุดต่อสายไฟฟ้า

แนวทางแก้ไข: เปิดช่อง Service ฝ้าเพดานแล้วปิดฝา  Junction Box จุดต่อสายไฟฟ้าให้เรียบร้อย แต่ถ้าจำนวนสายภายใน Junction มีมากเกินไป จะเกิดความร้อนต้องทำการต่อ junction Box ซ้อนกันเพื่อระบายความร้อน

5.ไม่ทาสีน้ำมันป้องกันน้ำและความชื้นของท้องบานหรือสันบานประตูห้องน้ำ

แนวทางแก้ไข: ทาสีน้ำมันป้องกันน้ำและความชื้นที่บริเวณท้องบานและสันประตูให้เต็ม

6. ขอบพื้นลามิเนตยุบตัว หรือโก่งตัวพื้นไม่ได้ระดับ

แนวทางแก้ไข: รื้อบัวเชิงผนังแล้วรื้อถอดแผ่นพื้นลามิเนต แล้วจึงปรับพื้นคอนกรีตที่รองรับแผ่นพื้นไม้ลามิเนตให้ได้ระดับ แล้วจึงปูแผ่นพื้นลามิเนตกลับเข้าไปใหม่

7. กระเบื้องพื้น – ผนัง ล่อน

ปูยึดกระเบื้องพื้น – ผนังไม่แน่น

แนวทางแก้ไข: – กรณีล่อนกลางแผ่น ต้องรื้อเลาะแผ่นกระเบื้องเพื่อปูกระเบื้องแผ่นใหม่

– กรณีล่อนมุมแผ่นกระเบื้อง ถ้ากระเบื้องปูเว้นร่องห่างให้เลาะยาแนว แล้วฉีดอัดน้ำปูนเข้าใต้                     แผ่นกระเบื้องให้เต็ม

8. ระดับท้องบานประตูห้องพักสูงจากระดับพื้นมากเกินไป

แนวทางแก้ไข: – เปลี่ยนบานประตูใหม่

– ถอดบานประตูออกแล้วทำการต่อท้องบานประตูใหม่

– ใช้แผ่นติดกันแมลงติดใต้ท้องบานประตู

9. มีน้ำขังที่พื้นห้องน้ำ หรือพื้นระเบียงเนื่องจากการปรับระดับลาดเอียงของพื้นไม่ได้มาตรฐาน

แนวทางแก้ไข: รื้อแผ่นกระเบื้องเดิมออก แล้วปูปรับ Slope กรเบื้องเดิมออก แล้วปูปรับ Slope กระเบื้องพื้นใหม่

10. ระบบน้ำดีและน้ำทิ้งรั่วที่สุขภัณฑ์หรือชุดครัว

แนวทางแก้ไข: เชื่อมต่อระบบท่อและสุขภัณฑ์ใหม่ หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ใหม่ หากชุดอุปกรณ์มีการชำรุด

CR : http://www.dfineconsultant.com/blog/10ปัญหายอดฮิต__พบบ่อยในการตรวจรับคอนโด-blog.aspx

Categories
บทความ

4 TIPS ต่อเติมบ้านไม่ให้ทรุด!!

การทรุดตัวของบ้าน ปกติแล้วย่อมมีการทรุดตัวเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งจะทรุดเพียงเล็กน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่และระยะเวลา แต่หากมีการต่อเติมเพิ่มเข้าไปนั้น อาจก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวที่เร็วและมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นควรมีการต่อเติมแบบถูกต้อง ระมัดระวังตัวบ้านให้มากที่สุด เพื่อช่วยชะลอการทรุดตัว หรือ แทบไม่ทรุดเลย

1. ต่อเติมโดยแยกโครงสร้างออกจากตัวบ้าน

สำหรับการต่อเติมนั้น Infinity Design ผ้าม่าน แนะนำให้แยกโครงสร้างออกจากตัวบ้าน ไม่ใช้ผนังเดียวกัน หรือไปฝากไว้กับตัวบ้านเดิม เพราะหากเกิดการทรุดตัว ในส่วนที่ต่อเติมจะดึงรั้งกับตัวบ้านเดิม ทำให้มีการฉีกขาดนั้นเอง

อีกทั้งในส่วนของรอยต่อ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ฉะนั้นควรมีขั้นตอนการทำที่ถูกวิธี อาทิ ใช้โฟมกั้นระหว่างรอยต่อ ก่อนทำการยาแนวด้วย PU หรือ Silicone เป็นต้น

2. ลงเสาเข็มถึงชั้นดินแข็ง

ในส่วนของการต่อเติมนั้น การลงเสาเข็มถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะช่วยลดการทรุดตัวได้ในระดับหนึ่งหรือแทบไม่ทรุดเลย โดยบริเวณใต้ดินหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือชั้นดินอ่อน และชั้นดินแข็ง

ซึ่งการลงเสาเข็ม หากเป็นไปได้แนะนำให้ลงยาวถึงชั้นดินแข็ง เนื่องจากชั้นดินแข็งจะให้ความมั่งคงมากกว่าชั้นดินอ่อนนั้นเอง แต่หากลงยาวไม่ถึงชั้นดินแข็งหรือไม่เท่าเสาเข็มของตัวบ้าน ก็ควรลงเสาเข็มให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือใช้เสาเข็มแบบ Micro Pile ซึ่งสะดวกในการต่อเติมและให้ความแข็งแรง มั่นคง

อีกทั้งการลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักเบา และ มีการวางที่กระจาย โดยให้น้ำหนักเท่าๆ กันทั่วห้อง ก็จะช่วยลดการทรุดหรือเอียงในส่วนที่ต่อเติมได้เช่นกัน

3. ไม่ใช้เสาเข็มร่วมกับตัวบ้าน

สำหรับในข้อนี้จะคล้ายๆ ในส่วนของข้อที่ 1 คือ การต่อเติมควรแยกโครงสร้างออกจากตัวบ้าน รวมไปถึงเสาเข็มด้วยเช่นกัน เพราะหากลงเสาเข็มเพียงด้านเดียว ส่วนอีกด้านนำไปฝากไว้กับตัวบ้าน หรือใช้เสาเข็มร่วมกับตัวบ้าน จะก่อให้เกิดความเสียหากได้ง่าย

เนื่องจากการลงเสาเข็มในส่วนที่ต่อเติม ส่วนใหญ่แล้วจะลงสั้นกว่าเสาเข็มของตัวบ้าน ซึ่งเมื่อเกิดการทรุดจะทำให้ในส่วนของการต่อเติมเอียงและไปดึงรั้งกับตัวบ้าน จนทำให้เกิดการฉีกขาด เสียหายนั้นเอง

4. เลือกผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ และมีความรู้ในเรื่องการต่อเติม

การต่อเติมบ้าน ถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ เพราะเราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน ฉะนั้น การเลือกผู้รับเหมาควรเลือกที่มีประสบการณ์ และมีความรู้ในเรื่องของการต่อเติม เพื่อให้ได้ทั้งในเรื่องของคุณภาพ ความสวยงาม และช่วยชะลอการทรุด

CR : http://www.dfineconsultant.com/blog/4_tips_ต่อเติมบ้านไม่ให้ทรุด-blog.aspx

Categories
บทความ

ทำความรู้จัก”กระเบื้อง”แต่ละประเภทก่อนเลือกซื้อ

มาทำความรู้จัก”กระเบื้อง”แต่ละประเภทก่อนเลือกซื้อจะได้ถูกประเภท ถูกใจ สวยงามตามท้องเรื่อง><

1.กระเบื้องเซรามิก (Ceramic Tile)

เป็นกระเบื้องที่มีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบ หรือจะบอกว่า กระเบื้องเซรามิคก็คือกระเบื้องดินเผา หรือบางคนก็จะเรียกว่ากระเบื้องเคลือบก็ได้ ที่สำคัญกระเบื้องเซรามิกยังมีหลายสี

คุณสมบัติ: จะมีความแข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย แต่ไม่ทนต่อรอยขีดข่วน พื้นผิวแข็งแต่ลื่นเมื่อเปียกน้ำ วัสดุประเภทนี้มีให้เลือกหลายหลายขนาด สี และรูปทรง สามารถปูบนพื้นคอนกรีตหรือพื้นไม้ได้โดยใช้กาวติดกระเบื้องยึด ปัจจุบันนิยมนำมาใช้ปูพื้นในห้องครัว และห้องน้ำเป็นต้น

ข้อเสียของกระเบื้องเซรามิก : แบบเคลือบเวลาเปียกน้ำมักมีความลื่นและดูดซึมน้ำสูง และถ้าหากรื้อถอนแล้วไม่สามารถนำมาปูใหม่ไม่ได้ แถมยังไม่เหมาะกับพื้นที่ๆต้องรับน้ำหนักเยอะ Tip : ถ้านำมาใช้ในห้องน้ำแนะนำให้เลือกด้าน เวลาโดนน้ำหรือสบู่จะได้ไม่ลื่นป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด

2.กระเบื้องเกลซพอร์ซเลนด์ (Glazed Porcelain Tile)

กระเบื้องเกลซพอร์ซเลนด์ ถือว่าเป็นกระเบื้องเคลือบชนืดหนึ่ง มีส่วนประกอบของ ดินขาว ผ่านกระบวนการผสมกับแร่อื่นๆ เช่น หินเขี้ยว หนุมาน ดินดำ ไชน่าสโตน และแร่หินฟันม้า เป็นต้น เมื่อนำไปเผาในอุณหภูมิประมาณ 1300 องศา ก็จะได้เนื้อที่สามารถนำไปขึ้นรูปได้ทั้งกระเบื้องปูพื้น งานเซรามิก อื่นๆได้

คุณสมบัติ: ลักษณะเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น มีความแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ทนต่อการขูดขีด และยังมีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ เพียง 0.05% หรือไม่มีการดูดซึมน้ำเลยก็ว่าได้ เหมาะสำหรับการติดตั้งทุกพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกของอาคารที่ผู้คนเดินผ่านบ่อยๆ อาทิ พื้นห้างสรรพสินค้า พื้นโถงโรงแรม เป็นต้น หรือจะใช้ในการปูผนังก็ได้เช่นกัน

3.กระเบื้อง แกรนิตโต้ (Granito Tile)

แกรนิตโต้ หรือ กระเบื้องแกรนิตโต้ คือกระเบื้องเซรามิคชนิดหนึ่งที่เป็นหินแกรนิตเทียม มีส่วนผสมของผงหินแกรนิต แล้วนำไปผ่านการเผาด้วยความร้อนสูง แข็งแรงเทียบเท่าหินแกรนิต และถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่ากระเบื้องเซรามิคชนิดอื่นๆ

ลักษณะพื้นผิวมันวาว แกรนิโต้เป็นกระเบื้องที่ไม่มีการเคลือบสี มีเนื้อกระเบื้องเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น ดังนั้นเมื่อถูกกระเทาะจะ สังเกตได้ว่าเนื้อที่ผิวหน้ากับเนื้อด้านในจะเป็นสีเดียวกัน

คุณสมบัติ: แข็งแรง และทนทานต่อการขีดข่วน เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำต่ำมาก เป็นกระเบื้องที่มีคุณสมบัติการรับน้ำหนักได้สูงเหมือนกับ กระเบื้องเกลซพอร์ซเลนด์ เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการสัญจรทั่วไป

4.กระเบื้องดินเผา (Earthenware Tile)

กระเบื้องดินเผา ถือว่าเป็นกระเบื้องที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณจนถึงในปัจจุบัน ใช้ทั้งปูหลังคาและปูพื้นบ้าน ให้ความ Classic และให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ

คุณสมบัติ: กระเบื้องดินเผามีความใกล้เคียงดินมากกว่าหิน ซึ่งอาจแตกหัก ผุกร่อนได้ง่าย และผิวค่อนข้างด้าน แต่ข้อดีคือราคาไม่แพงแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเกรดของกระเบื้องแต่ละแบบด้วย แถมไม่ลื่นถ้าไม่มีตะไคร้น้ำเกาะ ระบายความชื้นแลความร้อนได้ดี ทำให้อมความร้อนไว้ไม่นาน

ข้อเสียของกระเบื้องดินเผา : ดูดซับความชื้นได้ดีเกินไปถ้าช่างปูกระเบื้องไม่ดี ไม่เว้นระยะห่างต่อแผ่นไม่มากพออาจทำให้กระเบื้องบวมและแตกได้ มีความแข็งแรงน้อยมากเมื่อเทียบกับกระเบื้องชนิดอื่นๆ ทำความสะอาดยากและสกปรกง่ายจึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดเท่าไหร่

5.กระเบื้องโมเสค (Mosaic Tile)

กระเบื้องโมเสค เป็นกระเบื้องขนาดเล็ก ที่ถูกออกแบบมาใช้งานหลายรูปแบบ รวมไปถึงใช้ในงานตกแต่งอีกด้วย บริเวณที่ใช้งานโมเสคมีหลายบริเวณ มีทั้ง ผนังห้องน้ำ ห้องครัว และสระว่ายน้ำเป็นต้น แต่ถ้าติดในครัวหากน้ำมันไปโดนย่อมมีคราบมันอย่าลืม
คุณสมบัติ: เนื้อเป็นแก้วใส ไม่เหมือนพลาสติก มีความแข็งแรง มันวาว ทนทานและสีไม่ตก ทำความสะอาดง่ายเนื้อสีของกระเบื้องสดใส ดูดซึมน้ำต่ำ ไม่นิยมนำมาปูพื้นบ้านเพราะแผ่นเล็กและมีราคาสูงนั้นเอง

ข้อเสียของกระเบื้องแก้ว : ความแข็งแรงทนทานน้อยกระเบื้องทั่วไปอย่างกระเบื้องเซรามิกจึงไม่เหมาะกับการปูพื้นบ้านหรือทางเดินหรือที่ๆต้องรับน้ำหนักเยอะเพราะอาจแตกหักได้ง่าย ที่สำคัญทำความสะอาดยากโดยเฉพาะบริเวณร่องยาแนวที่เยอะทุกตรางนิ้ว

6.กระเบื้องแก้ว (Glass Tile)

กระเบื้องแก้ว จะมีความมันวาว เนื้อโปร่งแสง มีทั้งแบบแผ่นและแบบโมเสคเม็ดเล็ก โดยส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมคือกระเบื้องแก้วที่เป็นแบบโมเสค มีลักษณะคล้ายกับกระเบื้องโมเสคแต่เคลือบแก้วทับลวดลายลงไปทำเกิดความมันวาว สีสันสดใส

คุณสมบัติ: กระเบื้องแก้วมีอัตราการดูดซับความชื่นต่ำ เหมาะกับการติดผนัง ช่วยให้พื้นผนังห้องดูสวยงามมากยิ่งขึ้น นิยมใช้ปูในพื้นที่แคบๆ ไม่นิยมปูในพื้นที่กว้างๆ เพราะกระเบื้องชิ้นเล็กปูยากและราคาค่อนข้างสูง

ข้อเสียของกระเบื้องแก้ว : เหมือนกับกระเบื้องโมเสคที่กล่าวมาในข้างต้นเลยที่บอกว่าไม่ควรปูพื้นเนื้องจากรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้น้อย

CR : http://www.dfineconsultant.com/blog/ทำความรู้จัก_กระเบื้อง_แต่ละประเภทก่อนเลือกซื้อ-blog.aspx

Categories
บทความ

4 โทนสี ที่ช่วยให้ “ห้อง” ดูกว้างขึ้น

1. โทนสี Swirling Smoke หรือ สีเทาอ่อน

หากพูดถึงโทนสีเทา เพื่อนๆ หลายคนก็จะมองว่าเป็นโทนสีที่ดูแล้วมืด ไม่สบายตา แต่ทั้งนี้โทนสีเทานั้น ก็มีหลายหลายเฉดสีให้ได้เลือกใช้ หากเลือกเป็นโทนสีที่อ่อนลงอย่างโทนสีเทาอ่อน ก็จะช่วยทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น อีกทั้งยังทำให้ภายในห้องรู้สึกกว้างขึ้นอีกด้วย

2. โทนสี Cloud White หรือ สีขาวครีม

มาต่อกันด้วยโทนสีขาวครีมกันบ้าง ซึ่งเป็นโทนสีที่ใกล้เคียงกับโทนสีขาว ฉะนั้นสามารถช่วยให้ภายในห้องดูกว้างขึ้นได้กันอย่างแน่นอน และด้วยตัวของโทนสีที่ออกเป็นโทนสีครีม จึงทำให้ภายในห้องได้บรรยากาศของความอบอุ่นอีกด้วย โดยส่วนใหญ่จะนิยม นำไปตกแต่ง บริเวณห้องนั่งเล่น และห้องนอน

3. โทนสี Sweet Dreams หรือ สีฟ้า

ถือเป็นอีกหนึ่งโทนสีที่ได้รับความนิยมกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับโทนสีฟ้า ถือเป็นโทนสีที่สื่อถึงความสงบ ปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระ และช่วยทำให้เรารู้สึกใจเย็นมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงทำให้ภายในห้องดูกว้างขึ้นอีกด้วย

4. โทนสี Skylight หรือ สีฟ้าอมเทา

มาถึงโทนสีสุดท้ายกันแล้ว Infinity Design ผ้าม่าน แนะนำโทนสีฟ้าอมเทา ถือเป็นอีกหนึ่งโทนสีที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ช่วยทำให้ภายในห้องรู้สึกกว้างขึ้น ซึ่งการตกแต่งด้วยโทนสีนี้จะได้ทั้งความสดใสนิดๆ ที่มาพร้อมกับความโมเดิร์นในเวลาเดียว และสามารถนำไปตกแต่งได้อย่างหลากหลายสไตล์

CR : http://www.dfineconsultant.com/blog/4_โทนสี_ที่ช่วยให้__ห้อง__ดูกว้างขึ้น-blog.aspx