สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านหรือมีบ้านแล้วทั้งของใหม่และมือสอง แต่ยังไม่รู้เริ่มแต่งบ้านยังไงดี เพราะถูกจำกัดด้วยงบประมาณและขนาดห้อง หรือว่าคิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มยังไง มีปัญหาในการซื้อเฟอร์นิเจอร์มาวางเองก็ดูเหมือนจะวางไม่พอ เรามีข้อแนะนำดีๆในการวางแผนการตกแต่งบ้านค่ะ
บ้านที่ทำออกมาขายในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ขนาดจะเล็กลงเรื่อยๆ การปรับขนาดนี้มีสาเหตุมาจากที่ดินหายากขึ้นและมีราคาที่แพงขึ้น ทำให้บ้านที่ทำออกมาขายโดยเฉพาะในทำเลใจกลางเมืองต้องปรับผลิตภัณฑ์ที่จะทำออกมาขายใหม่ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ขายในราคาที่ลูกค้าพอจับต้องได้ คนที่อยากได้บ้านทำเลดีหน่อยก็ต้องยอมที่จะได้บ้านที่มีขนาดเล็กลง เมื่อบ้านเล็กลงพฤติกรรมของคนที่อยู่ในบ้านก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เราไม่สามารถใช้ชีวิตในบ้านกว้างๆได้เหมือนแต่ก่อน จึงต้องใช้พื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าและตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด ทำให้ผู้เขียนนึกถึงบ้านของชาวฮ่องกงและญี่ปุ่นที่มีขนาดเล็กมากๆ แต่การจัดพื้นที่ใช้สอยในบ้านของเค้านั้น จัดได้คุ้มค่าอย่างน่าทึ่ง มีการซ่อน เก็บ พับ และ ปรับห้องตามความความต้องการที่จะใช้สอย และเมื่อไม่ใช้ก็พับเก็บ ทำให้บ้านดูดี เรียบร้อย น่าอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่ามี “การวางแผน” และ “การออกแบบ” เป็นสิ่งที่สำคัญในบ้านที่มีขนาดเล็ก
เมื่อเราซื้อบ้านมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ “การตกแต่ง” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแค่ไปเดินเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์มาวางก็จบแล้ว แต่การแต่งบ้านให้ออกมาดูดี อยู่สบายและใช้พื้นที่ได้คุ้มค่านั้น ต้องผ่านการคิดและการออกแบบมาพอสมควร โดยเฉพาะการแต่งบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีขนาดเล็ก (ขอเรียกรวมๆว่าเป็นบ้านเล็กนะคะ) เนื่องจากบ้านเล็กนั้นมีพื้นที่จำกัด ในขณะที่ความต้องการของเราไม่ได้จำกัดตาม จึงเกิดปัญหาอยากจะใส่นู่นใส่นี่ แต่ไม่มีพื้นที่จะวาง ทำอย่างไรจึงจัดพื้นที่ให้ลงตัวมากที่สุด จากประสบการณ์การออกแบบภายใน หากมือใหม่หัดแต่งบ้านไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ให้ลองทำขั้นตอนในการแต่งบ้านที่สรุปได้เป็นหัวข้อง่ายๆตามนี้ดูค่ะ
กำหนดความต้องการ (REQUIREMENT)
การกำหนดความต้องการ คือ การที่เราคิดว่าอยากจะได้อะไรในบ้านหลังนี้บ้าง เช่น อยากได้ห้องอะไร มีฟังก์ชั่นการใช้งานอะไรบ้าง แต่ละห้องใช้เฟอร์นิเจอร์กี่ตัว ตกแต่งสไตล์ไหน เป็นต้น ความสำคัญของการคิดและวางแผนเอาไว้ก่อนว่าเราจะแต่งบ้านอย่างไร คือการป้องกันการ “ออกทะเล” ของผู้ตกแต่งบ้านมือใหม่ เช่น พอไปเดินเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านเกิดรู้สึกชอบก็เลยซื้อมา แต่พอเอามาวางในห้องแล้วมันไม่เข้าชุดกัน หรือไม่ได้วัดขนาดมาทำให้วางไม่พอดีกับพื้นที่ รวมถึงการซื้อของโดยไม่คำนึงถึงงบประมาณ ซึ่งรวมๆแล้วทำให้การแต่งบ้านของเรา ออกมาไม่ถูกใจผู้อยู่และทำให้งบประมาณ “บานปลาย” อย่างใช่เหตุ
ปัญหาของบ้านเล็กคือพื้นที่จำกัด
การกำหนดความต้องการนั้น เราสามารถใช้เป็นข้อมูลในการคุยกับสถาปนิก หรือ มัณฑนากรในกรณีที่จะจ้างผู้ออกแบบได้ด้วย หรือถ้าไม่จ้างก็เก็บเอาไว้ทำเป็น Check List เวลาเราแต่งบ้าน โดยสามารถทำได้ทั้งเขียนหรือร่างง่ายๆในกระดาษ หรือ ทำเป็น Presentation สวยงาม
อยากได้อะไรให้เขียนสรุปความต้องการลงในกระดาษ
หรือร่างไอเดียคร่าวๆหารูปจากในเน็ตเอามาทำเป็น Presentation ไว้ใช้คุยกับสถาปนิกหรือเก็บเป็น Check List ในการแต่งบ้าน
วางแนวความคิด (IDEA CONCEPT)
เมื่อเรารู้ความต้องการเบื้องต้นของเราแล้วว่าอยากได้อะไรในบ้านบ้าง ก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบ ในการออกแบบให้ออกมาสวยงามนั้น ขั้นแรกจะต้องมีการทำ IDEA CONCEPT หรือ การวางแนวความคิด ซึ่งจะช่วยเป็นตัวควบคุมให้เราแต่งบ้านออกมาในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกัน โดยการวางแนวความคิด จะต้องคำนึงถึง แนวความคิดในการออกแบบ , สไตล์ , การใช้สีและบรรยากาศ , การใช้วัสดุ และ การเลือกเฟอร์นิเจอร์
Concept คืออะไร ??
ในการออกแบบนั้นจะต้องมี Concept ซึ่ง Concept หลายครั้งก็มีความหมายที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม สรุปง่ายๆว่ามันคือ การตั้งโจทย์ให้ผู้ออกแบบทำตามนั้นเอง โดยมันจะมีความสำคัญตรงที่ทำให้งานออกแบบของเรามี “เอกลักษณ์”
ขอยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ถ้าเรากำหนด Concept ว่า อยากทำบ้านเล็กๆของเราให้เหมือนรีสอร์ท เราก็ไปคิดต่อว่าจะเอาลูกเล่นอะไรมาใส่ให้ห้องของเราได้อารมณ์รีสอร์ทดี เช่น ใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติในการตกแต่ง , ออกแบบมีช่องแสงหรือหน้าต่างที่เปิดกว้างรับวิว เป็นต้น การวาง Concept สามารถคิดได้ตั้งแต่การวางผังห้องไปจนถึงการเลือกของตกแต่ง
เมื่อเราคิด Concept ขึ้นมาได้แล้ว การทำให้มันออกมาเห็นภาพ สามารถใช้สื่อสารกับผู้อื่นได้ อาจจะทำในสิ่งที่เรียกว่า Material Board หรือ Mood&Tone Board
Material Board คือการรวบรวมตัวอย่างวัสดุที่เราจะใช้ในห้องมาติดรวมกันในกระดานเอาไว้ใช้เป็นไอเดียในการตกแต่ง หรือคุยกับผู้รับเหมา
Mood Board – คือการหาภาพ หรือ บรรยากาศที่เราต้องการในแต่ละ Zone มาติดรวมกัน ช่วยให้ไม่หลุด Theme ในการออกแบบ
การออกแบบ
หลังจากที่เรารู้ว่าอยากจะได้อะไรให้บ้านบ้าง และอยากตกแต่งบ้านให้ออกมาในรูปแบบไหน ขั้นตอนต่อมาคือการออกแบบ ซึ่งก็คือการนำความต้องการ กับ แนวความคิดของเรามารวมร่างกลายเป็นบ้านในฝันของเรานี่เอง ต้องการออกแบบสามารถทำได้โดย
- จ้างสถาปนิก ผู้ออกแบบภายใน หรือ มัณฑนากร วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายแต่เราก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าบ้านของเราจะสวยได้ดั่งใจฝัน เพราะทางสถาปนิกจะมีประสบการณ์ว่าจะต้องทำอย่างไร บ้านเราจะออกมาดูดี และจะมีการทำภาพจำลองบรรยากาศ หรือ ภาพ 3D ซึ่งศัพท์เฉพาะของสถาปนิกเรียกมันว่า “ตีบ” หรือ “Tive” ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Perspective แปลว่าภาพจำลองทัศนียภาพให้เราเห็นภาพก่อน นอกจากนั้นยังมีการเขียนแบบก่อสร้างและคุยกับผู้รับเหมาซึ่งจะลดความผิดพลาดในการก่อสร้างได้ ข้อแนะนำคือให้หาสถาปนิกที่มีประสบการณ์ การจ้างสถาปนิกเหมาะกับบ้านที่ต้องการงานออกแบบที่ค่อนข้างพิเศษ ถ้ามีงบประมาณที่จำกัดและไม่อยากตกแต่งอะไรมากมาย การตกแต่งบ้านด้วยตัวเองถึงแม้ว่าจะเสียเวลาสักหน่อยแต่ก็จะประหยัดกว่าค่ะ
- ออกแบบเอง วิธีนี้ค่อนข้างประหยัด แต่ท่านเจ้าของบ้านต้องอาศัยการทำการบ้าน และ เก็บข้อมูลมากพอสมควร โดยการทำวิธีที่แนะนำไปคือ การกำหนดความต้องการ และ การวางแนวความคิด ซึ่งถ้าอยากเห็นภาพห้องก็อาจจะเอามาวาดๆให้ออกเป็นภาพ Sketch หรือไปจ้างวานทำภาพ 3D เพื่อพอให้เห็นภาพคร่าวๆ วิธีนี้เหมาะกับบ้านที่มีขนาดเล็กที่เราไม่ต้องตกแต่งอะไรมากนัก ข้อแนะนำคือถ้าคิดไม่ออกว่าจะแต่งอย่างไรให้ไปเดินตามบ้านตัวอย่าง ร้านเฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่มีจัดเป็นมุมห้องต่างๆให้เราดูค่ะ
- ให้ทางบริษัทเฟอร์นิเจอร์ออกแบบ ปัจจุบันมีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่รับออกแบบวางผัง วางเฟอร์นิเจอร์ และทำออกมาเป็นแบบ 3D ให้ เราได้เห็นกันก่อนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการออกแบบ แต่มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่นจะต้องใช้เฟอร์นิเจอร์ของเค้าเท่านั้นเป็นต้น
นี่เป็นเพียงออเดิฟเรียกน้ำย่อยเล็กๆน้อยๆเป็นส่วนนึงจากบทความในหนังสือตอน เริ่มตกแต่งบ้านทำอย่างไร (ยังไม่ใช่เวอร์ชั่นเต็มนะคะ) สามารถอ่านบทความพร้อมบทสรุปได้ในหนังสือ เล็ก.อยู่.ได้
Cr. https://thinkofliving.com/ไอเดียตกแต่ง/เริ่มตกแต่งบ้านทำอย่างไร-บทความพิเศษจากหนังสือ-เล็ก-อยู่-ได้-346626/